รถยนต์ Bugatti เป็นหนึ่งในแบรนด์รถยนต์ที่มีความเร็วสูงที่สุดในโลกได้ ด้วยเครื่องยนต์ quad-turbo W-16 ที่เปิดตัวครั้งแรกโดย Veyron ในปี 2005 ทำให้เกิดยุคใหม่ของกำลังแรงม้าสี่หลักขึ้นมาตั้งแต่ปี 2005 Veyron สามารถทำความเร็วสูงสุดได้ 253 ไมล์ต่อชั่วโมงในขณะนั้น และ Bugatti ได้เพิ่มตัวเลขนั้นอย่างต่อเนื่องจนถึงปี 2019 เมื่อ Chiron Super Sport 300+ สามารถทำความเร็วได้ 304.7 ไมล์ต่อชั่วโมง แต่ Veyron, Chiron, Bolide และอื่นๆ ล้วนเป็นรถคูเป้ ในขณะนี้ Bugatti กำลังวางแผนที่จะนำสถิติโลกใหม่กลับบ้านที่ Molsheim ด้วยรถเปิดประทุน Mistral ซึ่งเป็นการนำเครื่องยนต์ W-16 ควอดเทอร์โบมาใช้ครั้งสุดท้ายก่อนที่แบรนด์จะร่วมมือกับ Rimac และผลลัพธ์ที่ตามมาคือการผสมผสานไฮบริดและการใช้ไฟฟ้าของรุ่นในอนาคต ที่สำคัญกว่านั้น Mistral ต้องการการปรับปรุงอย่างการออกแบบที่ยึดถือมาของ Bugatti เพื่อสร้างแรงกดลงและการระบายความร้อนของเครื่องยนต์ที่เพียงพอเพื่อให้สามารถทำความเร็วสูงสุดที่ 261 ไมล์ต่อชั่วโมง และนี่คือตัวเลขที่ Mistral จะสามารถทำได้แม้จะเปิดหลังคา
จากบทความโดย Sean Evans, Basem Wasef, Ben Oliver, Michael Van Runkle
Just about any Bugatti will make the cut among the world’s fastest production cars, if simply because the quad-turbo W-16 engine, first pioneered by the Veyron, established an entirely new era of four-figure horsepower output back in 2005. The Veyron managed a 253 mph top speed then and Bugatti consistently upped that number through 2019, when the Chiron Super Sport 300+ managed a 304.7 mph single-direction run. But the Veyron, Chiron, Bolide and others were all coupes—now Bugatti plans to take a new world record home to Molsheim with the Mistral roadster, which features a final application of the quad-turbo W-16 before the marque partnered with Rimac and the resultant hybridization and electrification of future models. More importantly, the Mistral required significant revisions to Bugatti’s established design language to create sufficient downforce and engine cooling to allow for an incredible top speed of 261 mph. And that’s a figure that the Mistral will somehow achieve with the roof off.
From the article by Sean Evans, Basem Wasef, Ben Oliver, Michael Van Runkle