แม้ว่าปี 2020 ที่ผ่านมา ภาพรวมเศรษฐกิจโลกจะหยุดชะงักจากการระบาดของโรค COVID-19 และจนถึงตอนนี้สถานการณ์เศรษฐกิจโลกโดยรวมจะยังไม่ดีขึ้น แต่เมื่อมองย่อยลงมาที่ฝั่งเอเชีย โดยเฉพาะในจีนซึ่งเผชิญกับการระบาดของโรคก่อนและตอนนี้สถานการณ์เริ่มเข้าสู่สภาวะปกติแล้วก็ทำให้เศรษฐกิจในแถบเอเชียเริ่มฟื้นตัวมาได้และเริ่มมีการจับจ่ายมาขึ้นจนทำให้ยอดขายของ กลุ่ม LVMH ในช่วงไตรมาสที่ 4 ของปี 2020 เพิ่มขึ้น 18 เปอร์เซ็นต์หรือราว 7.3 พันล้านยูโร จนภาพรวมยอดขายทั้งหมดของ LVMH ในไตรมาสที่ 4 นั้น ทำรายได้ไปถึง 1.4 หมื่นล้านยูโร โดยภาพรวมยอดขายในเอเชียนั้นเพิ่มขึ้น 21 เปอร์เซ็นต์
จากยอดขายที่เพิ่มขึ้นในไตรมาสสุดท้ายของปีพร้อมกับการคาดการณ์จาก FHH Journal ว่าตลาดสินค้าไฮเอนด์จะขยายตัวอีก 15 เปอร์เซ็นต์ในปี 2021 ทำให้นักลงทุนมีความเชื่อมันและหันมาสนใจลงทุนในหุ้นของ LVMH มากขึ้นจนกลายเป็นบริษัทที่มีมูลค่าสูงสุดในตลาดหุ้นยุโรป โดยมีมูลค่ารวมอยู่ที่ 2.7 แสนล้านยูโร มากกว่า Nestle ผู้ครองตำแหน่งเดิมที่มีมูลค่าบริษัทรวมอยู่ที่ 2.6 แสนล้านยูโรแม้ว่า Nestle จะมียอดขายทั้งหมดมากกว่า LVMH ก็ตาม
นอกจาก LVMH แล้ว หุ้นของเหล่าบริษัทผู้ผลิตสินค้าไฮเอนด์ไม่ว่าจะเป็น Hermes, เครือ Richemont และเครือ Kering เองก็มีมูลค่าสูงขึ้นด้วยเช่นกัน โดยหุ้น Richemont ขึ้นมา 74 เปอร์เซ็นต์ ตามมาด้วย Hermes ขึ้นมา 54.7 เปอร์เซ็นต์ และ Kering ขึ้นมา 22.1 เปอร์เซ็นต์
